วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

5 มิติแห่งการเป็นเจ้าของธุรกิจ

5 มิติแห่งการเป็นเจ้าธุรกิจบริการ article

5 มิติแห่งการเป็นเจ้าธุรกิจบริการ

การบริการมีลักษณะเฉพาะตัวที่สำคัญก็คือการผลิตการบริการและการบริโภคการบริการเกิดขึ้นพร้อมกัน(Simultaneously produced and consumed) ดังนั้นหากบริการไม่ดีก็จะไม่มีโอกาสแก้ตัว ไม่มีTake 2 หรือ Take 3 เหมือนการถ่ายภาพ หรือการถ่ายวิดีทัศน์ ดังนั้นการบริการที่ดีจึงต้องอาศัยบุคลากรที่มีความพร้อมทั้งด้านทัศนคติ นิสัยในการทำงาน ความสามารถในการสื่อสาร ความรู้เกี่ยวกับงานและทักษะที่ชำนาญ ผู้บริหารองค์กรต้องให้ความสำคัญกับการคัดเลือกพนักงาน และต้องมีระบบการทำงานที่สนับสนุนการให้บริการของพนักงานทุกๆคนเป็นอย่างดี การบริการที่ดีเริ่มต้นที่ความมุ่งมั่นของผู้บริหารระดับสูงที่จะแสดงออกได้ด้วยการกระทำดังต่อไปนี้
      
       * ประกาศเป็นนโยบายชัดเจนว่าองค์กรให้ความสำคัญกับการให้บริการลูกค้า ยึดมั่นในปรัชญา “ลูกค้าต้องมาก่อน (customerimages first policy)
       
       * วางรูปแบบขององค์กรให้มีโครงสร้างที่เอื้อต่อการให้บริการที่ดี
       
       * จัดสรรอุปกรณ์ให้พร้อม เพื่อให้พนักงานมีอุปกรณ์ที่เหมาะสมครบถ้วนในการให้บริการ
       
       * พัฒนาเทคโนโลยีที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถให้ประสบการณ์ที่ประทับใจแก่ลูกค้าได้
       
       * คัดเลือกพนักงานที่มีมนุษยสัมพันธ์สูง มีวิญญาณบริการ และมีคุณลักษณะเหมาะสมที่จะเป็นทูตของ Brand สามารถปฏิบัติหน้าที่ในการสะท้อนคุณค่าหลัก (Core value) ของ Brand ได้
       
       * สร้างวัฒนธรรมองค์กรให้พนักงานภายในมีการบริการซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี เพื่อปลูกฝังวิญญาณการบริการที่ดีให้กับพนักงานทุกคน
       
       * มีการบริหารจัดการที่ทำให้พนักงานมีความสุขในการทำงานเพื่อที่พวกเขาจะได้มีความสุขไปแบ่งปันให้ลูกค้า

      
       เมื่อมีความมุ่งมั่นของผู้บริหารระดับสูงเป็นรากฐานเบื้องต้นแล้ว ผู้บริหารจะต้องมั่นใจว่าในการให้บริการที่จะสะท้อนคุณค่าของ Brand ได้เป็นอย่างดีนั้น ผู้บริหารจะต้องให้ความ สำคัญกับมิติของการจัดการด้านการบริการทั้ง 5 มิติ ดังต่อไปนี้
      
       * การบริการที่ดีจะต้องเป็นที่ไว้วางใจของลูกค้าว่าจะได้รับสิ่งที่ถูกต้องเป็นไปตามคำมั่นสัญญา (Reliability) การบริการที่ดีคือการทำตามสัญญา และทำสิ่งต่างๆให้กับลูกค้าได้ถูกต้องครบถ้วน ไม่มีความผิดพลาด
      
       * การบริการที่ดีต้องมีความกล้าในการรับประกันสิ่งที่พูดกับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าจะได้รับสิ่งที่ผู้ขายกล่าวอ้าง และควรจะแสดงความรับผิดชอบว่าหากไม่เป็นไปตามที่รับประกันไว้จะชดเชยให้แก่ลูกค้าอย่างไร สินค้าบางอย่างอาจจะมีการรับประกันในลักษณะ Warranty หมายถึงการมีใบรับประกันเป็นสัญญาว่าจะแก้ไขหรือชดเชยอย่างไร ในกรณีที่สินค้ามีข้อบกพร่องหรือไม่สามารถทำงานได้ตามที่เอ่ยอ้างไว้ในการตกลงซื้อขาย แต่สินค้าบางอย่างแม้ว่าจะไม่มีใบ Warranty แต่ในการให้บริการที่ดีนั้น ผู้ให้บริการควรที่จะให้ความมั่นใจด้วยวาจาว่าจะทำอะไรให้แก่ลูกค้าเมื่อใด ด้วยคุณภาพระดับใด ด้วยความถูกต้องครบถ้วนอย่างไร และถ้าหากไม่อาจที่จะทำตามที่ได้เอ่ยปากตกปากรับคำไว้จะดำเนินการอย่างไร ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการชดเชยจากความผิดพลาดดังกล่าว
      
       * การขานรับข้อเรียกร้องของลูกค้าอย่างรวดเร็ว( Responsiveness) ไม่ว่าจะเป็นการเสนอแนะ การเรียกร้องให้มีการแก้ไขข้อบกพร่อง หรือการร้องเรียนเรื่องราวที่ไม่พอใจ การบริการที่ดีนั้นวัดได้จากการให้ความสำคัญกับข้อร้องเรียนของลูกค้า มองความสำคัญของปัญหาของลูกค้าอยู่ในระดับเดียวกันกับที่ลูกค้ามอง ไม่คิดว่าลูกค้าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ต้องใส่ใจความรู้สึกของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าที่มีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับข้อบกพร่องของสินค้าหรือบริการ หรือลูกค้าที่มีเหตุแห่งความไม่พอใจหรือความไม่สบายใจ การขานรับข้อร้องเรียนของลูกค้านี้ ต้องทำด้วยความรวดเร็ว เต็มใจ สุภาพ ไม่แสดงท่าทีไม่พอใจ โกรธเคือง หรือรำคาญลูกค้า ต้องคิดขอบคุณลูกค้าทุกคนที่ทำให้เรามีโอกาสได้รับรู้ปัญหา และมีโอกาสได้แก้ไขปัญหาให้ลูกค้า
      
       * ต้องมีพนักงานที่เข้าใจลูกค้า รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา (Empathy) มองปัญหาต่างๆด้วยสายตาของลูกค้า มองเรื่องราวต่างๆจากมุมมองของลูกค้า อย่ามองแต่ด้านการรักษาผลประโยชน์ของบริษัทเท่านั้น ต้องทำให้ลูกค้ามองเห็นว่าเราพร้อมที่จะยืนหยัดดูแลผลประโยชน์ของลูกค้า เรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อนโยบายของบริษัทเน้นการรักษาลูกค้ามากกว่าเน้นการควบคุมงบประมาณ เพราะการเน้นการควบคุมงบประมาณนั้นจะทำให้พนักงานไม่กล้าที่จะดูแลรักษาผลประโยชน์ของลูกค้า เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ในการสร้างทัศนคติที่ว่าด้วยการยืนหยัดดูแลผลประโยชน์ของลูกค้านั้น ผู้บริหารจะต้องชี้ให้พนักงานทุกคนเข้าใจว่าในบางครั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการไม่ยอมเสียค่าใช้จ่ายนั้นสูงกว่าการยอมเสียค่าใช้จ่ายหลายเท่า อย่างที่สุภาษิตไทยบอกว่า “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย”
      
       * การบริการเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ (Intangible) แต่เราสามารถทำให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายอนุมานได้ว่าบริการของเราน่าจะดี โดยดูจากสิ่งที่จับต้องได้ (Tangibles)เช่นตัวอาคาร การตกแต่งสถานที่ อุปกรณ์เครื่องใช้ ชุดพนักงาน ห้องน้ำ ที่จอดรถ เป็นต้น เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจว่าจะได้รับบริการที่ดีก่อนที่จะมาใช้บริการจริงๆ ผู้บริหารจะต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่จับต้องได้ และสิ่งต่างๆที่จับต้องได้นั้นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกกับผู้บริโภคว่าเขาน่าจะได้รับบริการที่ดีจากเรา
      
       สร้างมิติแห่งการบริการให้ครบถ้วน เพื่อให้มั่นใจว่าการบริการของเรานั้นดีพอที่จะทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าได้รับคุณค่าจาก Brand คุ้มกับต้นทุนชีวิตที่ต้องใช้จ่ายออกไป ไม่ว่าจะเป็นเงิน เวลา และความพยายาม ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเขาเป็นคนสำคัญทุกครั้งที่ ทำธุรกรรมกับเรา เพื่อสร้างความผูกพันระยะยาวให้กลายเป็นความภักดี


วางแผนการขายด้วยหลักธรรม

วางแผนการขาย article

วางแผนการขายอิงหลักคุณธรรม ด้วยอิทธิบาท 4

หลักอิทธิบาท 4 เป็นหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งหมายถึงสิ่งซึ่งมีคุณธรรม ความจริงแล้วหลักคำสอนดังกล่าวเป็นเรื่องที่สากลมาก คุณสามารถนำไปเป็นหลักคิดหรือแนวทางในการปฏิบัติตนไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ทั้งในการทำงาน การศึกษา การดำเนินชีวิตในทุกด้าน แม้แต่คุณจะเสนอขายสินค้าบางอย่างให้แก่ลูกค้า ก็สามารถนำหลักอิทธิบาท 4 มาเป็นแนวทางในทำงานด้านการขายของคุณได้

อิทธิบาท นั้นมีทั้งหมด 4 ข้อปฏิบัติ ได้แก่                 
  1. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น  คุณควรมีความภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ นั่นคือการงานในอาชีพของคุณ นี่คือพื้นฐานง่ายๆ ของเคล็ดลับการทำงานใดๆ ในประสบความสำเร็จ หากคุณเชื่อและรักในสิ่งที่ทำ ซึ่งก็เปรียบเสมือนทำให้งานคุณประสบความสำเร็จไปครึ่งทางแล้ว
  2. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น การมีความขยันและตั้งใจจริงที่จะดำเนินสิ่งใดที่คุณปรารถนาให้ลุล่วง ก็จะเกิดความคิดมุ่งไปที่เป้าหมายดังล่าว คุณต้องพากเพียร อดทน ไม่ท้อถอย เช่นหากคุณลองตั้งเป้าหมายว่า คุณต้องการเสนอขายงานชิ้นนี้ให้กับลูกค้าให้ได้ภายในวันนี้หรืออาทิตย์นี้ ก็จะยิ่งเป็นแรงผลักดันให้คุณเกิดความพยายามที่ก้าวไปให้สำเร็จตามจุดมุ่งหมาย โดยไม่ท้อถอย แม้จะต้องล้มเหลวไปกี่ครั้งก็ตาม
  3. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น เป็นผลที่ต่อเนื่องมาจากวิริยะ เมื่อมีความขยันและตั้งใจจริงแล้ว ลำดับต่อมาก็คือ “ความทุ่มเท”ให้กับสิ่งหรือเป้าหมายที่คุณต้องการ และตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำและทำสิ่งนั้นด้วยความคิดที่แน่วแน่ ไม่ไขว้เขว ไม่ทอดทิ้งความตั้งใจที่มี ในการจะเสนอขายสินค้า และควรจดจำให้วัตถุประสงค์หรือความมุ่งมั่นดังกล่าวเอาไว้ในใจเสมอ จนกว่าจะสำเร็จลุล่วง
  4. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น หรือความไตร่ตรอง ทบทวน ตรวจสอบนั่นเอง ทั้งข้อดีและข้อผิดพลาดในสิ่งที่คุณได้ทำลงไปหรือกำลังทำอยู่ เพื่อนำมาแก้ไขจุดอ่อน จุดด้อยของตัวเอง และเป็นประสบการณ์ที่จะเอาไว้ใช้ในครั้งต่อไป
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผลสำเร็จย่อมขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติเองที่จะสามารถปฏิบัติได้อย่างเคร่งคัดหรือไม่ หากปฏิบัติได้อย่างครบถ้วนและสม่ำเสมอ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ย่อมประสบความสำเร็จเช่นที่คุณวางเป้าหมายไว

วิธีการปิดการขายเร็ว ๆๆๆๆๆ

เทคนิคเด็ด วิธีช่วยปิดการขายเร็วๆ

การขายในยุคการแข่งขันสูงที่ควบคู่กับเศรษฐกิจฝืดๆ แบบนี้ คงยากหรือไม่ก็ตัดสินใจนาน กว่าที่ลูกค้าจะยอมควักเงินออกจากกระเป๋ามาซื้อสินค้าของคุณ เราเลยมีสูตรการปิดการขายที่ควรลองนำไปใช้ดู ไม่แน่ยอดขายของคุณอาจจะดีขึ้นก็เป็นได้
เทคนิคการปิดการขายยุคนี้ อาจต้องอาศัยเรื่องของโปรโมชั่นหนักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นลด แลก แจก หรือแถม ล้วนสร้างแรงกระตุ้นและจูงใจลูกค้าได้เป็นอย่างดี แต่ทีนี้ คุณอาจต้องมีลูกเล่นในการเสนอโปรโมชั่นต่อลูกค้าที่แยบยลสักนิด
สำหรับเทคนิคแรกที่แนะนำก็คือ กลยุทธ์ “ของแถม” นั่นเอง ถือเป็นกลยุทธ์ที่ถูกใช้ในการปิดการขายที่อมตะนิรันดร์กาลมาก เพราะถูกใช้มาทุกยุคทุกสมัย เพราะใครๆ ก็ชอบของแถม ไม่ว่าจะเป็นของแถมที่มีมูลค่าสูงหรือของแถมเล็กๆ น้อยๆ เพราะจะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าตัวเองได้รับอะไรที่คุ้มค่ามากกว่าปกติ แต่รูปแบบของแถมอาจเปลี่ยนไปตามกาลเทศะและความเหมาะสม ซึ่งคุณ
1. Give people deadline to order.
ต้องมีการกำหนด วันสิ้นสุดโปรโมชั่น เช่น บอกลูกค้าว่า ถ้าซื้อก่อนสิ้นเดือนนี้ จะได้ราคาพิเศษ หรือได้ของแถม เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้ซื้อทำการตัดสินใจซื้อโดยเร็ว ภายในเงื่อนกำหนดเวลานั้น
2. Offer people a money back guarantee.
“รับประกัน ไม่พอใจยินดีคืนเงิน” เป็นข้อเสนอที่ควรจะมีไว้ให้ลูกค้า หากคุณมีปัญหาเรื่องความเชื่อมั่นในตัวสินค้าของลูกค้า และหากคุณมีสินค้าที่มีคุณภาพดีจริงๆ การรับประกันจะช่วยให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น แต่ควรกำหนดช่วงเวลาไว้ด้วย เช่น 30 วัน , 60 วัน , 1 ปี หรือ ตลอดอายุการใช้งาน
3. Offer a free on-site repair service for products you sell.
เมื่อลูกค้าคิดถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเมื่อสินค้าไม่สามารถใช้งานได้ อาจจะต้องนำสินค้าส่งซ่อมที่ศูนย์ ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่อยากเจอจริงๆ ดังนั้น การเสนอเงื่อนไขนี้ เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า และช่วยเพิ่มความมั่นใจ และแก้ปัญหาให้ลูกค้าในอนาคตได้ช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อได้เร็วยิ่งขึ้น
4. Publish testimonials on your ad copy.
ใส่คำชมของลูกค้าที่เคยใช้งานสินค้ามาแล้ว ไว้ในโฆษณาด้วย ข้อมูลเหล่านี้จะให้ความน่าเชื่อถือได้ดี หากมีจำนวนยิ่งมากเท่าใด ยิ่งดี ข้อสำคัญคือ ต้องใช้ ข้อมูลจริง ชื่อนามสกุลจริง ที่อยู่ หรือ บริษัทจริงๆ และหากเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว จะยิ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือได้ดียิ่งขึ้น
5. Give people free bonuses.
ของแถมใครๆ ก็ชอบ ควรจะมีของแถมเล็กๆ น้อยๆ ให้กับลูกค้าที่ซื้อสินค้าด้วย เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่า ได้มากกว่า ที่เสียไป เช่น หนังสือที่เกี่ยวข้องกับสินค้า เช่น ซื้อโน้ตบุ๊ค แถมหนังสือ ดูแลโน้ตบุ๊ค อย่างถูกวิธี , ซื้อบ้านมือสอง จัดแต่งสวนตามความชอบ เป็นต้น
6. Allow people to make money reselling the product or service.
ควรเปิดโอกาสให้ลูกค้า สามารถได้รับเปอร์เซ็นต์ จากการแนะนำให้เพื่อนๆ ให้ซื้อสินค้าหรือบริการ ในภายหลังได้อีก หรือ เรียกว่า Affiliate Program ซึ่งหากจะให้ได้ผล Affiliate Program จะต้องไปรับผลประโยชน์ที่ดึงดูดมากพอ
7. Offer free 24 hour help with all products you sell.
หากลูกค้ามีความจำเป็นที่จะต้องใช้สินค้า หรือบริการของท่าน อย่างรอไม่ได้ ควรจะมีบริการ Call Center หรือ 7/24 Support ( 7 วันต่อสัปดาห์ 24 ชั่วโมงต่อวัน ) ให้กับลูกค้าเป็นอย่างมาก เพื่อเป็นการช่วยเหลือ ให้ข้อมูล การแก้ปัญหาในเบื้องต้นก่อน ง่ายๆ อาจจะใช้เบอร์โทรศัพท์มือถือของท่านเอง เป็นหมายเลข 7/24 Support ก็ได้ และหรืออาจจะเป็นทางอีเมล์ หรือ Fax ควรมีการแจ้งไว้ด้วยว่า จะตอบกลับภายในกี่ชั่วโมง หรือกี่วัน
8. Provide free shipping with all orders.
ให้บริการ สินค้าทุกชิ้นส่งถึงบ้านฟรี หรือ หากไม่สามารถทำได้ ก็ควรกำหนดวงเงินสั่งซื้อสินค้าขั้นต่ำที่จะได้รับบริการนี้ เช่น สั่งซื้อครบ 500 บาท ค่าส่งฟรี เป็นต้น
9. Give away a free sample of your product.
แจกสินค้าทดลองให้ใช้ฟรี (ถ้าทำได้) เป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเหมือนกับการให้ลูกค้าได้ทดลองใช้ก่อน หากสินค้าดี ลูกค้าพอใจ เค้าก็ยินดีที่จะสั่งซื้อ โดยไม่ต้องรีรอเลย เพราะใช้งานได้ดีจริงๆ อยู่แล้ว
10. Offer a buy one get one free deal.
ถ้าคุณมีสินค้ามากกว่า 1 รายการ การเสนอเงื่อนไข ซื้อ 1 แถม 1 หรือ ซื้อ 1 แล้ว ลดทันที 50% เมื่อซื้อสินค้าชิ้นต่อไป จะเป็นการส่งเสริมให้ลูกค้า อยากจะซื้อสินค้าอื่นๆ เพิ่มเติมอีก จะช่วยเร่งยอดขายได้อีกมากเลยทีเดียว
ความจริง เราก็เคยเห็นเทคนิคในการขายในรูปแบบที่กล่าวมาแล้วกันอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย เพียงแต่ หากเรานำเทคนิคเหล่านี้ มาประยุกต์ใช้กับการขายของเราเอง ก็จะช่วยกระตุ้นความสนใจให้กับตัวสินค้าได้ดี และช่วยเร่งให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้เป็นอย่างดี

การสร้างแบรนด์ สินค้า

ทำอย่างไร ให้ตรายี่ห้อ ของคุณโดนใจตลาด article

ทำอย่างไร ให้ตรายี่ห้อ ของคุณโดนใจตลาด

ธุรกิจสมัยใหม่ทุกวันนี้ส่วนใหญ่ มุ่งประเด็นในการสร้างแบรนด์ ของสินค้าไม่ว่าในประเทศ หรือต่างประเทศ และกำลังขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ หลายองค์กรให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์อย่างจริงจังและเป็นระบบ มากกว่าเพียงแค่การตลาดเหมือนเมื่อก่อน



       
  1. สร้างสัญลักษณ์ตัวแทน สินค้า บริการ สถานที่ คน องค์กร หรือ แม้แต่ความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นชื่อ สัญลักษณ์ที่เป็น Logo โดยสัญลักษณ์ตัวแทน สิ่งเหล่านี้ต้องจดลิขสิทธิ์ ภาพจะจดจำภาพได้ดีกว่าตัวอักษร แต่สมองเราก็สามารถแปลตัวอักษรให้เกิดภาพและความรู้สึกได้ดี การที่เราสร้างให้ภาพหรือ Logo แทนสินค้าหรือบริการ นั่นหมายถึง เรากำลังสร้างตัวแทนเพื่อบ่งบอกถึงลักษณะของสินค้าที่เรามีอยู่ หรือ แม้นแต่ความรู้สึกที่กลุ่มเป้าหมายจะได้รับ ยิ่งเรามี สโลแกน จะทำให้กลุ่มเป้าหมาย สามารถจดจำแบรนด์ของเราได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
  2. สร้างคุณค่าความประทับใจให้กับสัญลักษณ์ ควรจะกำหนดเป้าหมายของแบรนด์ว่า เมื่อเห็นแล้วคิดถึงอะไร
    สิ่งนี้จะเน้นถึงความรู้สึกของกลุ่มเป้าหมายเป็นสำคัญกับการตีความกับสัญลักษณ์ของเรา สินค้าและบริการจะเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างให้แบรนด์นั้นส่งผลกับความรู้สึกของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างดี บางแบรนด์ มี Logo ที่ไม่สวย เรียบง่าย แต่ทำให้รู้สึกว่า เป็นสินค้าคุณภาพ
  3. ทำการตลาดสินค้าโดยผ่านแบรนด์ ต้องมีหลักการทำการตลาด เพื่อสนับสนุน แบรนด์ คุณค่าทางด้านจิตใจของกลุ่มเป้าหมายนั้น มีค่ายิ่งสำหรับแบรนด์ การทำการตลาดทุกครั้ง ต้องนึกถึงแบรนด์ด้วยว่า เรากำลังสร้างภาพลักษณ์ให้กับ สินค้าหรือบริการนั้น ได้ตรงกับความรู้สึกของกลุ่มเป้าหมายรึยัง เราสร้างให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้ในสิ่งที่เราอยากให้เขารับรู้ หรือ รู้สึกอย่างที่ต้องการได้หรือไม่ อย่างเช่น กระเป๋าราคาแพงยี่ห้อต่างๆ ก็จะใช้กลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์ให้แตกต่างออกไป การโฆษณา จะจับสื่อที่กลุ่มระดับบนเป็นผู้บริโภค อย่างเช่น หนังสือบนเครื่องบิน สนามบิน เป็นต้น ซึ่งเป็นการสร้างภาพลักษณ์ ความรู้สึกที่ดี และยิ่ง กลุ่มคนระดับสูงใช้มากเท่าใด ความรู้สึกที่ได้มาครอบครองก็จะทำให้รู้สึกว่า ตนนั้นเป็นบุคคลพิเศษกว่าคนอื่นๆ ซึ่งถ้าคุณรู้ว่าต้นทุนการผลิตนั้นราคาเท่าใด แล้ว ราคาที่ขายกันนั้นราคาเท่าใด คุณจะบอกได้เลยว่า มูลค่าของคนสำคัญนั้นมีราคาแพงมากๆจริงๆ กับสินค้าที่ส่งเสริมทางด้านจิตใจ
  4. ทำให้กลุ่มเป้าหมายได้รับรู้ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ในทางที่ดีในตำแหน่งที่ดีเหมาะสมที่สุดกับกลุ่มเป้าหมาย เมื่อแบรนด์ออกสู่ตลาด สิ่งที่ต้องก็คือ เราต้องสื่อสารให้ตรงกับแบรนด์ ต้องทำให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้ถึงการรับประกัน หรือ สัญญาที่ให้ไว้กับแบรนด์ ว่า กลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้านั้นจะได้รับตามที่แบรนด์ได้สัญญาทางจิตใจ
  5. ตอกย้ำความรู้สึกที่ดี ให้กับแบรนด์ สร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นคำสัญญาที่ให้ บุคคลที่ดีเยี่ยม ภาพลักษณ์ หรือ แม้นแต่หัวใจของธุรกิจก็ตาม  การสื่อสาร หรือ โฆษณาประชาสัมพันธ์มีผลกับการตอกย้ำความรู้สึกของแบรนด์ทั้งสิ้น สินค้าหรือบริการดีๆมากมาย ลงทุนสร้างชื่อเสียงให้กับสินค้าและบริการไปด้วยเงินมหาศาล การสร้างชื่ออาจจะยาก แต่การรักษาชื่อเสียง และ ความรู้สึกที่มีต่อแบรนด์นั้นๆ ยากกว่า
  6. ตรวจวัดความรู้สึกของกลุ่มเป้าหมายกับแบรนด์ที่เราสร้างขึ้น เพื่อทำการบริหารแบรนด์ได้ตรงกับความรู้สึกของกลุ่มเป้าหมายต่อไป การจะตอกย้ำความรู้สึกของกลุ่มเป้าหมายให้ถูกจุดนั้น เราควรจะศึกษาพฤติกรรม และความรู้สึกของกลุ่มเป้าหมายที่มีกับแบรนด์นั้นๆ ด้วย
  7. เมื่อแบรนด์อยู่ในใจลูกค้าแล้ว ควรจะ สร้างส่วนขยายของแบรนด์ เพิ่มเพื่อสร้างความรู้สึกใหม่ๆ  แบรนด์บางแบรนด์จะกลายเป็นคุณลักษณะของสินค้า การสร้างส่วนขยายของแบรนด์ จึงจำเป็นต้องมีเพื่อสร้างให้เกิดคุณค่าทางจิตใจอีกมุมหนึ่ง หรือ เน้นในด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ อย่างเช่น TOYOTA จะนึกถึงรถยนต์ และ รถกระบะ ทันที แต่เวลาพุดถึง TOYOTA CAMRY ก็จะมีความรู้สึกว่าเป็นรถเก๋งที่ใหญ่กว่า TOYOTA CORONA หรือใกล้เคียงกัน และจะรู้สึกว่า TOYOTA COROLLA เล็กกว่า แต่ก็ใหญ่กว่า TOYOTA VIOS แต่ถ้าพูดถึง TOYOTA VEGO ก็จะกลายเป็นรถกระบะไป ซึ่งชื่อที่มาเสริมเหล่านี้แหละคือชื่อส่วนขยายของแบรนด์ โดยตัวมันเองก็อาจจะกลายมาเป็นแบรนด์ได้เองได้ด้วย...
  8. ป้องกันไม่ให้แบรนด์ มีชื่อเสียงในทางที่ไม่ดี และ ปรับปรุง ให้แบรนด์มีการตอกย้ำคุณค่าในรูปแบบใหม่ๆอยู่เสมอ ใช้การตลาดในการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ทันสมัย คนเราจะจดจำสิ่งที่ไม่ดีได้รวดเร็ว กว่าการจดจำในสิ่งที่ดีๆ เมื่อมีเหตุเกิดขึ้นกับแบรนด์ ต้องรีบแก้ไข แต่หากไม่มีเรื่องอะไรมากระทบกับแบรนด์ ก็ต้องปรับปรุงและตอกย้ำแบรนด์อยู่เป็นประจำ
  9. เมื่อมีสินค้าใหม่ บริการใหม่ ต้องพยายามทำให้สินค้าใหม่ หรือ บริการใหม่นั้น มีความรู้สึก หรือ สามารถผสานความรู้สึกที่กลมกลืนกับ แบรนด์เดิมให้ได้ เมื่อมีสินค้าใหม่หรือ บริการใหม่แต่แบรนด์คงเดิม เราต้องพยายามผสมผสานความรู้สึกเดิมๆของลูกค้า กับคุณสมบัติของสินค้าใหม่ หรือ บริการใหม่ ให้มีความรู้สึกที่ใกล้เคียงกัน อย่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหากจะต้องการสร้างให้แตกต่างกัน ก็ควรสร้างเป็นแบรนด์ใหม่ไปเลยเพื่อใช้ในการขยายตลาดอื่นๆไปได้อีก
  10. นำแบรนด์เข้าสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายใหม่ รู้จัก โดยใช้ฐานเก่าเป็นตัวสนับสนุน  แบรนด์สินค้าที่อยู่มานาน ส่วนใหญ่มักจะมีกลุ่มเป้าหมายของตนเอง แต่ในบางครั้ง กลุ่มเป้าหมายของแบรนด์อาจจะสามารถขยายออกไปได้ อย่างเช่น การขยายออกสู่ต่างประเทศ แต่ก็ยังมีตลาดในเมืองไทย และไม่ได้ทิ้งลูกค้าเก่าเพราะเป็นฐานลูกค้าที่ดี



Job info

เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วย 5 article
งานไหนควรทำก่อน หรือหลัง รู้ได้จากการจัดลำดับความสำคัญ article
“ยิ้ม ทักทาย” กลยุทธ์เด็ดพิชิตใจลูกค้า article
เคล็ดลับคนทำงานบริการ รับมือลูกค้าอย่างไรให้อยู่หมัด article
5 มิติแห่งการเป็นเจ้าธุรกิจบริการ article
ทำตัวให้ได้เหมือน อูฐ ปลา หมา และควาย คุณก็จะมีความสุขกับการทำงาน article
วิธีสร้างความสุขให้ลูกค้า สำหรับคนบริการ article
การสร้างมนุษย์สัมพันธ์กับงานมัคคุเทศก์ article
มองการตลาด ผ่านสายตา สุดยอดเซียน article
คิดให้ไว ทำให้เร็วแบบนักมาร์เก็ตติ้ง article
คุณคือนักการตลาดที่ดีหรือไม่ article
เทคนิคเด็ด วิธีช่วยปิดการขายเร็วๆ article
10 ข้อ ที่บอกว่าคุณสามารถเป็นนักขายได้ article
วางแผนการขาย article
10วิธี พัฒนาทีมขายของคุณ article

10 วิธีพัฒนาทีมขาย ให้มีประสิทธิภาพ

10วิธี พัฒนาทีมขายของคุณ article

10 วิธี พัฒนาทีมขายของคุณ

เป็นนักขาย ใช่ว่าคุณจะขยันแต่ขายหรือทำยอดเพียงอย่างเดียว แต่คุณต้องพัฒนาศักยภาพตัวเองให้ดียิ่งขึ้นตลอดเวลาไปด้วย นี่คือ10 เคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณพัฒนาทีมขายให้ประสบความสำเร็จ


  1. หันมาเสนอขายแต่กับคนที่มีอำนาจตัดสินใจซื้อจริงๆ เท่านั้น
  2. สอนให้พวกเขาเป็นนักฟังที่ดี เพราะสิ่งที่ดีที่สุดคือการฟังและเข้าใจว่าความต้องการของลูกค้าคืออะไร ไม่ใช่คิดเพียงแค่จะขายสินค้าเท่านั้น
  3. หาเป้าหมายให้เขา เพื่อสร้างความมั่นใจให้ทีมขายของคุณ ว่าเขาควรจะบริหารงานขายของเขาอย่างไรต่อไป
  4. คอยกระตุ้นให้ทีมขายของคุณมีความกระตือรือร้นและแอ็คทีฟกับงานขายอยู่เสมอ
  5. หลังกระตุ้นแล้ว ให้กำลังใจเมื่อทีมขายทำผลงานได้ดี ซึ่งถือเป็นจิตวิทยาที่ดีอย่างหนึ่งในการสร้างกำลังใจให้กับลูกทีม
  6. การตั้งเป้าหรือยอดขายที่เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงของธุรกิจและสถานการณ์ในช่วงนั้น ไม่ใช่การตั้งเป้าที่ต่ำเกินไป หรือสูงมากเกินไปจนไม่สามารถทำตามเป้าที่ตั้งไว้ได้ ทีมคุณก็จะรู้สึกท้อถอย
  7. ให้กำลังใจด้วยคำพูด และการให้ความสำคัญกับเขา ในฐานะของความเป็นทีมเดียวกัน
  8. เปิดรับฟังความคิดเห็น คำตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์จากลูกค้าทั้งในแง่บวกและลบ แล้วนำมาปรับปรุงทีม
  9. รู้จักตลาดอย่างแท้จริง รวมทั้งรู้จักลูกค้า หรือแม้แต่ธุรกิจของเองด้วย
  10. อย่าใช้วิธีเสนอขายลูกค้าแบบเดิมๆ แบบเดียว แต่ใช้อาจใช้หลายวิธีการเสนอขาย เช่น ส่งพนักงานไปเสนอขายโดยตรง การขายทางโทรศัพท์ การใช้ไดเร็คเมล์ เป็นต้น เพราะลูกค้าแต่ละรายจะให้การตอบรับการเสนอขายที่แตกต่างกัน


โครงการหมู่บ้าน เล่าลือชัยพัฒนา 66/23 (ลำรึก): การรับมือลูกค้าให้อยู่หมัด ทำอย่างไร

โครงการหมู่บ้าน เล่าลือชัยพัฒนา 66/23 (ลำรึก): การรับมือลูกค้าให้อยู่หมัด ทำอย่างไร: เคล็ดลับคนทำงานบริการ รับมือลูกค้าอย่างไรให้อยู่หมัด เคล็ดลับคนทำงานบริการ รับมือลูกค้าอย่างไรให้อยู่หมัด ต้องยอมร...

โครงการหมู่บ้าน เล่าลือชัยพัฒนา 66/23 (ลำรึก): การรับมือลูกค้าให้อยู่หมัด ทำอย่างไร

โครงการหมู่บ้าน เล่าลือชัยพัฒนา 66/23 (ลำรึก): การรับมือลูกค้าให้อยู่หมัด ทำอย่างไร: เคล็ดลับคนทำงานบริการ รับมือลูกค้าอย่างไรให้อยู่หมัด เคล็ดลับคนทำงานบริการ รับมือลูกค้าอย่างไรให้อยู่หมัด ต้องยอมร...

โครงการหมู่บ้าน เล่าลือชัยพัฒนา 66/23 (ลำรึก): การรับมือลูกค้าให้อยู่หมัด ทำอย่างไร

โครงการหมู่บ้าน เล่าลือชัยพัฒนา 66/23 (ลำรึก): การรับมือลูกค้าให้อยู่หมัด ทำอย่างไร: เคล็ดลับคนทำงานบริการ รับมือลูกค้าอย่างไรให้อยู่หมัด เคล็ดลับคนทำงานบริการ รับมือลูกค้าอย่างไรให้อยู่หมัด ต้องยอมร...

การรับมือลูกค้าให้อยู่หมัด ทำอย่างไร

เคล็ดลับคนทำงานบริการ รับมือลูกค้าอย่างไรให้อยู่หมัด article

เคล็ดลับคนทำงานบริการ รับมือลูกค้าอย่างไรให้อยู่หมัด

ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ในสภาวะการณ์ปัจจุบัน คนทำธุรกิจอยู่ในภาวะที่แข่งขันกันสูง นอกจากคิดหาโปรดักท์ใหม่ ๆ เพื่อมาแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดแล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ต้องหมั่นพัฒนาและปรับปรุงไม่ให้ด้อยไปกว่ากัน นั่นคือ “การบริการ”
เบื้องหลังความสำเร็จของหลาย ๆ ธุรกิจ มักได้ผลพวงมาจากมีการบริการที่ดีเป็นเครื่องมือสนับสนุน ดังนั้นงานบริการจะดีหรือไม่ดี ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับตัวพนักงานด้วย
พนักงาน ถือเป็นนักบริการที่แท้จริง
ที่กล่าวเช่นนั้น เพราะ วิธีการสร้างนักบริการมืออาชีพ แต่ละองค์กรต้องมองหา เลือกสรรบุคลากรที่มีคุณสมบัติ มีบุคลิกภาพที่เหมาะสม มาทำงานทางด้านบริการ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
คุณสมบัติของผู้ให้บริการ สิ่งที่ผู้ให้บริการควรมี คือ ความรักในงานบริการที่ทำอยู่ ต้องเข้าใจและให้ความสำคัญกับลูกค้า มีความกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือลูกค้า มีความอดทน อดกลั้นเมื่อถูกต่อว่า ติเตียน

บุคลิกภาพ ทั้งลักษณะการแต่งกาย ต้องแลดูสะอาด เรียบร้อย อากัปกริยาที่แสดงออก ท่าทาง การพูด ต้องดูเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ฝืนมาทำ เพราะถ้าดูฝืน ขัดกับตัวเอง ลูกค้าก็จะสามารถมองว่าเป็นการเสแสร้ง

เทคนิคการให้บริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสนทนา เพราะการสนทนาเป็นสื่อกลางระหว่างลูกค้าและบริษัท เราจะทำอย่างไรให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจกับการสนทนา ทำได้ไม่ยากเพียงแค่
  • สร้างความเป็นกันเอง ก็เพื่อทำให้ลูกค้ารู้สึกอุ่นใจ แสดงความเป็นมิตรผ่านท่าทางกริยา น้ำเสียงที่สุภาพอ่อนโยน พูดจามีหางเสียง อย่าตื่นเต้นหรือพูดเร็วจนรัว เพราะลูกค้าอาจฟังไม่รู้เรื่อง
  • เน้นการฟังเป็นหลัก พนักงานที่ทำหน้าที่การบริการ ต้องตั้งใจฟังด้วยความอดทน อดกลั้น ขณะที่ลูกค้าพูด ควรสบตาลูกค้าเป็นระยะ ๆ เพื่อแสดงปฏิกริยาตอบรับ
  • ทวนคำพูด เพื่อแสดงให้ลูกค้าทราบว่าเรานั้นตั้งใจฟังในสิ่งที่เค้าพูด ไม่ใช่ปล่อยให้บ่น ๆ ไปอย่างไม่ได้อะไร
เป็นสุดยอดทั้งด้านธุรกิจและบริการด้วยวิธีง่าย ๆ
องค์กรนับเป็นส่วนสำคัญในการช่วยพัฒนางานด้านบริการเป็นอย่างมาก เพราะองค์กรถือเป็นแกนหลักในการให้บริการ เพื่อตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้าและเทคนิคการพัฒนาระบบงานขององค์กรให้เกิดบริการ
โดยการ
  • จัดระบบการทำงานให้เกิดความคล่องตัว องค์กรควรปรับลดขั้นตอนที่ยุ่งยากให้ง่ายมากขึ้น เพื่อเพิ่มความรวดเร็ว
  • จัดทำลำดับขั้นตอนการให้บริการ องค์กรควรจัดทำขั้นตอนการบริการให้ง่ายและไม่ซับซ้อน เพื่อที่จะทำงานได้ง่ายขึ้น ไม่ซับซ้อน พนักงานสามารถทำงานได้ไม่สับสน
  • เรียนรู้ความต้องการของลูกค้า ด้วยเครื่องมือง่าย ๆ อย่างเช่น ตู้รับฟังความคิดเห็น การสอบถามพูดคุยโดยตรงกับลูกค้า เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงงานบริการในครั้งต่อไป
  • ฝึกอบรมพนักงานเพื่อเพิ่มทักษะในการบริการที่ดี เพื่อนำไปปรับใช้ในการทำงานบริการได้ดี

หมู่บ้าน รักสันติภาพ







งานไหนควรทำก่อน หรือหลัง รู้ได้จากการจัดลำดับความสำคัญ article

งานไหนควรทำก่อน หรือหลัง รู้ได้จากการจัดลำดับความสำคัญ

งานยุ่ง งานเยอะ งานล้นมือ ผลที่ตามมาคือ ทำงานไม่ทัน ปัญหาที่ใคร ๆ มักจะประสบพบเจอ จนถือว่าเป็นเรื่องปกติของการทำงาน แต่วันนี้ JobsDB มีทริคเล็ก ๆ น้อยมาฝากกัน ให้บรรดาเหล่าคนทำงานสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานได้ง่ายมากขึ้น
John C. Maxwell ผู้เขียนหนังสือ Buiding Leadership in you กล่าวถึงการจัดลำดับความสำคัญของงาน พูดง่าย ๆ ว่าถ้างานเรามี 100 อย่าง ถ้าดูดีๆ จะพบว่า มีงานสำคัญๆ อยู่ 20% ที่ทำแล้ว ให้ผลลัพทธ์ถึง 80% ของงานทั้งหมด ในขณะที่ งานอีก 80% ที่เหลือ ถึงทำเสร็จ ก็จะให้ผลแค่ 20 % เท่านั้น
เราจึงควรจะแบ่งงานออกเป็น 4 ประเภทดังนี้
(A) สำคัญ และ เร่งด่วน : ฝากใครทำไม่ได้ ต้องทำเอง ทันที เร่งด่วน รอช้าไม่ได้ และต้องสำเร็จด้วย
(B) สำคัญ แต่ไม่เร่งด่วน : ฝากใครทำไม่ได้ ต้องทำเอง แต่ไม่ด่วนมาก ต้องจัดสรรเวลามาทำ และต้องสำเร็จด้วย
(C) ไม่สำคัญ แต่ เร่งด่วน : ฝากคนอื่นทำได้ แต่ต้องทำทันที ไม่ควรช้า เช่น บิลค่าไฟ มาแล้ว ไม่จ่ายจะถูกตัดไฟ เป็นต้น
(D) ไม่สำคัญ และ ไม่เร่งด่วน : ฝากใครทำก็ได้ ถ้าว่างจริงๆแล้วจะทำ งานอย่างนี้ ถ้าจัดดีๆ อาจจะถูกผลัดไปได้ และบางครั้ง กลับมาดูอีกครั้ง ก็ไม่สำคัญว่าจะเสร็จ หรือไม่ก็ไม่เสียหายอะไร
นอกจากเรื่อง เวลากับงานแล้ว ยังใช้กับกลุ่มคนได้ด้วย เช่น ในองค์กร จะมีผู้ที่มี อิทธิพล กับคนทั้งกลุ่ม อยู่ 20% และ ถ้าคน 20 % นี้เห็นอย่างไร คนที่เหลือ 80% ก็จะคล้อยตามด้วย ให้ลองทำดูก็ได้ โดยเขียนรายชื่อคนทั้งหมดในหน่วยงาน หรือ ในงานของคุณ แล้วนึกดูทีละคนว่า "ถ้าคนๆนี้ ต่อต้านเรา จะมีปัญหากับชีวิตเราหรือไม่" ถ้ามี ให้ทำเครื่องหมายไว้ด้านหน้า ถ้าไม่มี ก็ไม่ต้องทำ เมื่อเสร็จแล้ว ก็มักจะมีอยู่ประมาณ 20% ที่มีอิทธิพลในกลุ่มนั่นเอง
ตาราง การแบ่งแยกประเภทของงานในแต่ละวัน ที่ทำได้ง่าย ๆ เพียง ก่อนเริ่มการทำงานอย่างจริงจัง คุณลองใช้เวลาสัก 10-15 นาที นั่งคิดว่า วันนี้เรามีงานอะไรต้องทำบ้าง แล้วเขียนเป็นตารางตามตัวอย่าง
To do (เราต้องทำอะไร) Minor Priority Done Legend  จำนวน %
    A งานสำคัญและเร่งด่วน 00
    B งานสำคัญ ไม่เร่งด่วน 00
    C งานไม่สำคัญ แต่เร่งด่วน 00
    D งานไม่สำคัญ ไม่เร่งด่วน 00
     รวม 0งาน
      เสร็จแล้ว 0งาน
ตัวอย่าง:
To do (เราต้องทำอะไร)Minor Priority Done Legend  จำนวน %
ทำ summary report + เบิกเงิน1A A งานสำคัญและเร่งด่วน 624
ตอบ e-mail2A1B งานสำคัญ ไม่เร่งด่วน 1248
สรุปรายงานการแก้ไข สวรส ให้พี่เทียน 3A1C งานไม่สำคัญ แต่เร่งด่วน 520
แก้ไขงาน สวรส ตาม requirement เพิ่มเติม4A D งานไม่สำคัญ ไม่เร่งด่วน 28
เขียนโครงการ MailGateway5A รวม 25งาน
เอาเครื่องคอมพ์น้องฝึกงาน เอา mind map ที่เสร็จแล้วออกมา6A1เสร็จแล้ว 7งาน
จ่ายค่าน้ำ ที่ 7-11 B1  
ทำ Knowledge Base ของระบบ Mail ด้วย Mambo B   
สร้าง Script ส่ง uid ของ OpenLDAP ไปตรวจสอบกับ PSU-Passport เพื่อดูว่า account นั้นยังอยู่ในระบบอีกหรือไม่ เตรียมลบ account ที่ไม่ได้ใช้แล้ว B   
เขียนข้อกำหนด การ attachment เกี่ยวกับชื่อ file B   
คุยกับพี่เผา เรื่องการสรุปปัญหาที่ถามบ่อยที่สุด 5 ข้อ ของแต่ละคน B   
ตรวจสอบ spam / ham B1  
จัดการเรื่อง UPS กับการ Shutdown อัตโนมัติ B   
จัดการเรื่อง Nagios B   
หาว่า ทำไม webmail restart บ่อยๆ B   
เอา Free Mind สวรส เข้า Moodle (ต้องแก้ html ด้วย) B   
วิธีลง MailScanner-ClamAV-SpamAssassin B   
แก้ปัญหา reply, forward แล้ว subject หาย B   
เอายาสีฟัน ให้พี่ลี คืนนี้  C   
เขียน blog เกี่ยวกับ yEd C   
สร้าง Moodle ของตัวเอง ใส่ข้อสอบ Pre-test และ บทเรียน สำหรับสอน PHP C   
เขียน blog เกี่ยวกับ เรื่องการจัดลำดับความสำคัญนี้ C1  
ทำไงให้ page timeout ได้ (ให้ webmail หน้า mail list refresh เอง ทุกๆ 1 นาที) ตอบอาจารย์ ธวัชชัยด้วย C1  
ซื้อขนม ไว้กินกาแฟ บ่าย 3 D   
เอารถไปล้างอัดฉีด ตอนเย็น  D   
จากการเรียงลำดับของงานเช่นนี้ ทำให้รู้ว่า
มีงานค้างค่อนข้างเยอะ ต้องรีบสะสาง (งาน B เยอะ 48% แต่งาน A ประมาณ 24% ก็ยังพอได้)
ทำงาน A เสร็จเกือบหมดแล้ว (ขณะเขียน blog นะ) ก็มีเวลาสลับมาทำงาน B และ C ได้ ทำให้ไม่เครียด
ไม่พลาดงานบางอย่าง เช่นไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นต้น
งานบางอย่างให้คนอื่นทำได้ ก็ให้ทำ (งาน C) แต่ถ้ายังพอมีเวลา อยากทำเองก็ทำได้
ท้ายสุดของความคิด ต้องคิดให้ได้ว่า งานก็คืองาน ซึ่งมันก็คือสิ่งที่เราต้องทำ เพื่อดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ มีงานที่ต้องทำ ควรทำ และอยากทำ คนเราก็มักจะเลือกทำงานที่ ชอบทำก่อน งานที่ควรทำ และ ต้องทำ ก็เลย ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ เขาว่ากันว่า สิ่งที่ยากที่สุดในเรื่องนี้คือ ทำให้คนทำสิ่งที่ต้องทำตามลำดับความสำคัญนั่นตะหากที่ยากของจริง



Job info

เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วย 5 article
“ยิ้ม ทักทาย” กลยุทธ์เด็ดพิชิตใจลูกค้า article
เคล็ดลับคนทำงานบริการ รับมือลูกค้าอย่างไรให้อยู่หมัด article
5 มิติแห่งการเป็นเจ้าธุรกิจบริการ article
ทำตัวให้ได้เหมือน อูฐ ปลา หมา และควาย คุณก็จะมีความสุขกับการทำงาน article
วิธีสร้างความสุขให้ลูกค้า สำหรับคนบริการ article
การสร้างมนุษย์สัมพันธ์กับงานมัคคุเทศก์ article
มองการตลาด ผ่านสายตา สุดยอดเซียน article
คิดให้ไว ทำให้เร็วแบบนักมาร์เก็ตติ้ง article
ทำอย่างไร ให้ตรายี่ห้อ ของคุณโดนใจตลาด article
คุณคือนักการตลาดที่ดีหรือไม่ article
เทคนิคเด็ด วิธีช่วยปิดการขายเร็วๆ article
10 ข้อ ที่บอกว่าคุณสามารถเป็นนักขายได้ article
วางแผนการขาย article
10วิธี พัฒนาทีมขายของคุณ article