5 มิติแห่งการเป็นเจ้าธุรกิจบริการ ![]() 5 มิติแห่งการเป็นเจ้าธุรกิจบริการ![]() * ประกาศเป็นนโยบายชัดเจนว่าองค์กรให้ความสำคัญกับการให้บริการลูกค้า ยึดมั่นในปรัชญา “ลูกค้าต้องมาก่อน (customerimages first policy) * วางรูปแบบขององค์กรให้มีโครงสร้างที่เอื้อต่อการให้บริการที่ดี * จัดสรรอุปกรณ์ให้พร้อม เพื่อให้พนักงานมีอุปกรณ์ที่เหมาะสมครบถ้วนในการให้บริการ * พัฒนาเทคโนโลยีที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถให้ประสบการณ์ที่ประทับใจแก่ลูกค้าได้ * คัดเลือกพนักงานที่มีมนุษยสัมพันธ์สูง มีวิญญาณบริการ และมีคุณลักษณะเหมาะสมที่จะเป็นทูตของ Brand สามารถปฏิบัติหน้าที่ในการสะท้อนคุณค่าหลัก (Core value) ของ Brand ได้ * สร้างวัฒนธรรมองค์กรให้พนักงานภายในมีการบริการซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี เพื่อปลูกฝังวิญญาณการบริการที่ดีให้กับพนักงานทุกคน * มีการบริหารจัดการที่ทำให้พนักงานมีความสุขในการทำงานเพื่อที่พวกเขาจะได้มีความสุขไปแบ่งปันให้ลูกค้า เมื่อมีความมุ่งมั่นของผู้บริหารระดับสูงเป็นรากฐานเบื้องต้นแล้ว ผู้บริหารจะต้องมั่นใจว่าในการให้บริการที่จะสะท้อนคุณค่าของ Brand ได้เป็นอย่างดีนั้น ผู้บริหารจะต้องให้ความ สำคัญกับมิติของการจัดการด้านการบริการทั้ง 5 มิติ ดังต่อไปนี้ * การบริการที่ดีจะต้องเป็นที่ไว้วางใจของลูกค้าว่าจะได้รับสิ่งที่ถูกต้องเป็นไปตามคำมั่นสัญญา (Reliability) การบริการที่ดีคือการทำตามสัญญา และทำสิ่งต่างๆให้กับลูกค้าได้ถูกต้องครบถ้วน ไม่มีความผิดพลาด * การบริการที่ดีต้องมีความกล้าในการรับประกันสิ่งที่พูดกับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าจะได้รับสิ่งที่ผู้ขายกล่าวอ้าง และควรจะแสดงความรับผิดชอบว่าหากไม่เป็นไปตามที่รับประกันไว้จะชดเชยให้แก่ลูกค้าอย่างไร สินค้าบางอย่างอาจจะมีการรับประกันในลักษณะ Warranty หมายถึงการมีใบรับประกันเป็นสัญญาว่าจะแก้ไขหรือชดเชยอย่างไร ในกรณีที่สินค้ามีข้อบกพร่องหรือไม่สามารถทำงานได้ตามที่เอ่ยอ้างไว้ในการตกลงซื้อขาย แต่สินค้าบางอย่างแม้ว่าจะไม่มีใบ Warranty แต่ในการให้บริการที่ดีนั้น ผู้ให้บริการควรที่จะให้ความมั่นใจด้วยวาจาว่าจะทำอะไรให้แก่ลูกค้าเมื่อใด ด้วยคุณภาพระดับใด ด้วยความถูกต้องครบถ้วนอย่างไร และถ้าหากไม่อาจที่จะทำตามที่ได้เอ่ยปากตกปากรับคำไว้จะดำเนินการอย่างไร ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการชดเชยจากความผิดพลาดดังกล่าว * การขานรับข้อเรียกร้องของลูกค้าอย่างรวดเร็ว( Responsiveness) ไม่ว่าจะเป็นการเสนอแนะ การเรียกร้องให้มีการแก้ไขข้อบกพร่อง หรือการร้องเรียนเรื่องราวที่ไม่พอใจ การบริการที่ดีนั้นวัดได้จากการให้ความสำคัญกับข้อร้องเรียนของลูกค้า มองความสำคัญของปัญหาของลูกค้าอยู่ในระดับเดียวกันกับที่ลูกค้ามอง ไม่คิดว่าลูกค้าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ต้องใส่ใจความรู้สึกของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าที่มีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับข้อบกพร่องของสินค้าหรือบริการ หรือลูกค้าที่มีเหตุแห่งความไม่พอใจหรือความไม่สบายใจ การขานรับข้อร้องเรียนของลูกค้านี้ ต้องทำด้วยความรวดเร็ว เต็มใจ สุภาพ ไม่แสดงท่าทีไม่พอใจ โกรธเคือง หรือรำคาญลูกค้า ต้องคิดขอบคุณลูกค้าทุกคนที่ทำให้เรามีโอกาสได้รับรู้ปัญหา และมีโอกาสได้แก้ไขปัญหาให้ลูกค้า * ต้องมีพนักงานที่เข้าใจลูกค้า รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา (Empathy) มองปัญหาต่างๆด้วยสายตาของลูกค้า มองเรื่องราวต่างๆจากมุมมองของลูกค้า อย่ามองแต่ด้านการรักษาผลประโยชน์ของบริษัทเท่านั้น ต้องทำให้ลูกค้ามองเห็นว่าเราพร้อมที่จะยืนหยัดดูแลผลประโยชน์ของลูกค้า เรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อนโยบายของบริษัทเน้นการรักษาลูกค้ามากกว่าเน้นการควบคุมงบประมาณ เพราะการเน้นการควบคุมงบประมาณนั้นจะทำให้พนักงานไม่กล้าที่จะดูแลรักษาผลประโยชน์ของลูกค้า เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ในการสร้างทัศนคติที่ว่าด้วยการยืนหยัดดูแลผลประโยชน์ของลูกค้านั้น ผู้บริหารจะต้องชี้ให้พนักงานทุกคนเข้าใจว่าในบางครั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการไม่ยอมเสียค่าใช้จ่ายนั้นสูงกว่าการยอมเสียค่าใช้จ่ายหลายเท่า อย่างที่สุภาษิตไทยบอกว่า “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย” * การบริการเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ (Intangible) แต่เราสามารถทำให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายอนุมานได้ว่าบริการของเราน่าจะดี โดยดูจากสิ่งที่จับต้องได้ (Tangibles)เช่นตัวอาคาร การตกแต่งสถานที่ อุปกรณ์เครื่องใช้ ชุดพนักงาน ห้องน้ำ ที่จอดรถ เป็นต้น เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจว่าจะได้รับบริการที่ดีก่อนที่จะมาใช้บริการจริงๆ ผู้บริหารจะต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่จับต้องได้ และสิ่งต่างๆที่จับต้องได้นั้นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกกับผู้บริโภคว่าเขาน่าจะได้รับบริการที่ดีจากเรา สร้างมิติแห่งการบริการให้ครบถ้วน เพื่อให้มั่นใจว่าการบริการของเรานั้นดีพอที่จะทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าได้รับคุณค่าจาก Brand คุ้มกับต้นทุนชีวิตที่ต้องใช้จ่ายออกไป ไม่ว่าจะเป็นเงิน เวลา และความพยายาม ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเขาเป็นคนสำคัญทุกครั้งที่ ทำธุรกรรมกับเรา เพื่อสร้างความผูกพันระยะยาวให้กลายเป็นความภักดี |
วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
5 มิติแห่งการเป็นเจ้าของธุรกิจ
วางแผนการขายด้วยหลักธรรม
วางแผนการขาย ![]() วางแผนการขายอิงหลักคุณธรรม ด้วยอิทธิบาท 4![]() อิทธิบาท นั้นมีทั้งหมด 4 ข้อปฏิบัติ ได้แก่
|
วิธีการปิดการขายเร็ว ๆๆๆๆๆ
เทคนิคเด็ด วิธีช่วยปิดการขายเร็วๆ

สำหรับเทคนิคแรกที่แนะนำก็คือ กลยุทธ์ “ของแถม” นั่นเอง ถือเป็นกลยุทธ์ที่ถูกใช้ในการปิดการขายที่อมตะนิรันดร์กาลมาก เพราะถูกใช้มาทุกยุคทุกสมัย เพราะใครๆ ก็ชอบของแถม ไม่ว่าจะเป็นของแถมที่มีมูลค่าสูงหรือของแถมเล็กๆ น้อยๆ เพราะจะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าตัวเองได้รับอะไรที่คุ้มค่ามากกว่าปกติ แต่รูปแบบของแถมอาจเปลี่ยนไปตามกาลเทศะและความเหมาะสม ซึ่งคุณ
1. Give people deadline to order.
ต้องมีการกำหนด วันสิ้นสุดโปรโมชั่น เช่น บอกลูกค้าว่า ถ้าซื้อก่อนสิ้นเดือนนี้ จะได้ราคาพิเศษ หรือได้ของแถม เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้ซื้อทำการตัดสินใจซื้อโดยเร็ว ภายในเงื่อนกำหนดเวลานั้น
2. Offer people a money back guarantee.
“รับประกัน ไม่พอใจยินดีคืนเงิน” เป็นข้อเสนอที่ควรจะมีไว้ให้ลูกค้า หากคุณมีปัญหาเรื่องความเชื่อมั่นในตัวสินค้าของลูกค้า และหากคุณมีสินค้าที่มีคุณภาพดีจริงๆ การรับประกันจะช่วยให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น แต่ควรกำหนดช่วงเวลาไว้ด้วย เช่น 30 วัน , 60 วัน , 1 ปี หรือ ตลอดอายุการใช้งาน
3. Offer a free on-site repair service for products you sell.
เมื่อลูกค้าคิดถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเมื่อสินค้าไม่สามารถใช้งานได้ อาจจะต้องนำสินค้าส่งซ่อมที่ศูนย์ ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่อยากเจอจริงๆ ดังนั้น การเสนอเงื่อนไขนี้ เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า และช่วยเพิ่มความมั่นใจ และแก้ปัญหาให้ลูกค้าในอนาคตได้ช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อได้เร็วยิ่งขึ้น
4. Publish testimonials on your ad copy.
ใส่คำชมของลูกค้าที่เคยใช้งานสินค้ามาแล้ว ไว้ในโฆษณาด้วย ข้อมูลเหล่านี้จะให้ความน่าเชื่อถือได้ดี หากมีจำนวนยิ่งมากเท่าใด ยิ่งดี ข้อสำคัญคือ ต้องใช้ ข้อมูลจริง ชื่อนามสกุลจริง ที่อยู่ หรือ บริษัทจริงๆ และหากเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว จะยิ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือได้ดียิ่งขึ้น
5. Give people free bonuses.
ของแถมใครๆ ก็ชอบ ควรจะมีของแถมเล็กๆ น้อยๆ ให้กับลูกค้าที่ซื้อสินค้าด้วย เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่า ได้มากกว่า ที่เสียไป เช่น หนังสือที่เกี่ยวข้องกับสินค้า เช่น ซื้อโน้ตบุ๊ค แถมหนังสือ ดูแลโน้ตบุ๊ค อย่างถูกวิธี , ซื้อบ้านมือสอง จัดแต่งสวนตามความชอบ เป็นต้น
6. Allow people to make money reselling the product or service.
ควรเปิดโอกาสให้ลูกค้า สามารถได้รับเปอร์เซ็นต์ จากการแนะนำให้เพื่อนๆ ให้ซื้อสินค้าหรือบริการ ในภายหลังได้อีก หรือ เรียกว่า Affiliate Program ซึ่งหากจะให้ได้ผล Affiliate Program จะต้องไปรับผลประโยชน์ที่ดึงดูดมากพอ
7. Offer free 24 hour help with all products you sell.
หากลูกค้ามีความจำเป็นที่จะต้องใช้สินค้า หรือบริการของท่าน อย่างรอไม่ได้ ควรจะมีบริการ Call Center หรือ 7/24 Support ( 7 วันต่อสัปดาห์ 24 ชั่วโมงต่อวัน ) ให้กับลูกค้าเป็นอย่างมาก เพื่อเป็นการช่วยเหลือ ให้ข้อมูล การแก้ปัญหาในเบื้องต้นก่อน ง่ายๆ อาจจะใช้เบอร์โทรศัพท์มือถือของท่านเอง เป็นหมายเลข 7/24 Support ก็ได้ และหรืออาจจะเป็นทางอีเมล์ หรือ Fax ควรมีการแจ้งไว้ด้วยว่า จะตอบกลับภายในกี่ชั่วโมง หรือกี่วัน
8. Provide free shipping with all orders.
ให้บริการ สินค้าทุกชิ้นส่งถึงบ้านฟรี หรือ หากไม่สามารถทำได้ ก็ควรกำหนดวงเงินสั่งซื้อสินค้าขั้นต่ำที่จะได้รับบริการนี้ เช่น สั่งซื้อครบ 500 บาท ค่าส่งฟรี เป็นต้น
9. Give away a free sample of your product.
แจกสินค้าทดลองให้ใช้ฟรี (ถ้าทำได้) เป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเหมือนกับการให้ลูกค้าได้ทดลองใช้ก่อน หากสินค้าดี ลูกค้าพอใจ เค้าก็ยินดีที่จะสั่งซื้อ โดยไม่ต้องรีรอเลย เพราะใช้งานได้ดีจริงๆ อยู่แล้ว
10. Offer a buy one get one free deal.
ถ้าคุณมีสินค้ามากกว่า 1 รายการ การเสนอเงื่อนไข ซื้อ 1 แถม 1 หรือ ซื้อ 1 แล้ว ลดทันที 50% เมื่อซื้อสินค้าชิ้นต่อไป จะเป็นการส่งเสริมให้ลูกค้า อยากจะซื้อสินค้าอื่นๆ เพิ่มเติมอีก จะช่วยเร่งยอดขายได้อีกมากเลยทีเดียว
ความจริง เราก็เคยเห็นเทคนิคในการขายในรูปแบบที่กล่าวมาแล้วกันอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย เพียงแต่ หากเรานำเทคนิคเหล่านี้ มาประยุกต์ใช้กับการขายของเราเอง ก็จะช่วยกระตุ้นความสนใจให้กับตัวสินค้าได้ดี และช่วยเร่งให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้เป็นอย่างดี
การสร้างแบรนด์ สินค้า
ทำอย่างไร ให้ตรายี่ห้อ ของคุณโดนใจตลาด ![]() ทำอย่างไร ให้ตรายี่ห้อ ของคุณโดนใจตลาด![]()
|
Job info
10 วิธีพัฒนาทีมขาย ให้มีประสิทธิภาพ
10วิธี พัฒนาทีมขายของคุณ ![]() 10 วิธี พัฒนาทีมขายของคุณ![]()
|
โครงการหมู่บ้าน เล่าลือชัยพัฒนา 66/23 (ลำรึก): การรับมือลูกค้าให้อยู่หมัด ทำอย่างไร
โครงการหมู่บ้าน เล่าลือชัยพัฒนา 66/23 (ลำรึก): การรับมือลูกค้าให้อยู่หมัด ทำอย่างไร: เคล็ดลับคนทำงานบริการ รับมือลูกค้าอย่างไรให้อยู่หมัด เคล็ดลับคนทำงานบริการ รับมือลูกค้าอย่างไรให้อยู่หมัด ต้องยอมร...
โครงการหมู่บ้าน เล่าลือชัยพัฒนา 66/23 (ลำรึก): การรับมือลูกค้าให้อยู่หมัด ทำอย่างไร
โครงการหมู่บ้าน เล่าลือชัยพัฒนา 66/23 (ลำรึก): การรับมือลูกค้าให้อยู่หมัด ทำอย่างไร: เคล็ดลับคนทำงานบริการ รับมือลูกค้าอย่างไรให้อยู่หมัด เคล็ดลับคนทำงานบริการ รับมือลูกค้าอย่างไรให้อยู่หมัด ต้องยอมร...
โครงการหมู่บ้าน เล่าลือชัยพัฒนา 66/23 (ลำรึก): การรับมือลูกค้าให้อยู่หมัด ทำอย่างไร
โครงการหมู่บ้าน เล่าลือชัยพัฒนา 66/23 (ลำรึก): การรับมือลูกค้าให้อยู่หมัด ทำอย่างไร: เคล็ดลับคนทำงานบริการ รับมือลูกค้าอย่างไรให้อยู่หมัด เคล็ดลับคนทำงานบริการ รับมือลูกค้าอย่างไรให้อยู่หมัด ต้องยอมร...
การรับมือลูกค้าให้อยู่หมัด ทำอย่างไร
เคล็ดลับคนทำงานบริการ รับมือลูกค้าอย่างไรให้อยู่หมัด ![]() เคล็ดลับคนทำงานบริการ รับมือลูกค้าอย่างไรให้อยู่หมัด![]() เบื้องหลังความสำเร็จของหลาย ๆ ธุรกิจ มักได้ผลพวงมาจากมีการบริการที่ดีเป็นเครื่องมือสนับสนุน ดังนั้นงานบริการจะดีหรือไม่ดี ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับตัวพนักงานด้วย พนักงาน ถือเป็นนักบริการที่แท้จริง ที่กล่าวเช่นนั้น เพราะ วิธีการสร้างนักบริการมืออาชีพ แต่ละองค์กรต้องมองหา เลือกสรรบุคลากรที่มีคุณสมบัติ มีบุคลิกภาพที่เหมาะสม มาทำงานทางด้านบริการ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ บุคลิกภาพ ทั้งลักษณะการแต่งกาย ต้องแลดูสะอาด เรียบร้อย อากัปกริยาที่แสดงออก ท่าทาง การพูด ต้องดูเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ฝืนมาทำ เพราะถ้าดูฝืน ขัดกับตัวเอง ลูกค้าก็จะสามารถมองว่าเป็นการเสแสร้ง เทคนิคการให้บริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสนทนา เพราะการสนทนาเป็นสื่อกลางระหว่างลูกค้าและบริษัท เราจะทำอย่างไรให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจกับการสนทนา ทำได้ไม่ยากเพียงแค่
องค์กรนับเป็นส่วนสำคัญในการช่วยพัฒนางานด้านบริการเป็นอย่างมาก เพราะองค์กรถือเป็นแกนหลักในการให้บริการ เพื่อตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้าและเทคนิคการพัฒนาระบบงานขององค์กรให้เกิดบริการ โดยการ
|
หมู่บ้าน รักสันติภาพ
งานไหนควรทำก่อน หรือหลัง รู้ได้จากการจัดลำดับความสำคัญ ![]() งานไหนควรทำก่อน หรือหลัง รู้ได้จากการจัดลำดับความสำคัญ![]() เราจึงควรจะแบ่งงานออกเป็น 4 ประเภทดังนี้ (A) สำคัญ และ เร่งด่วน : ฝากใครทำไม่ได้ ต้องทำเอง ทันที เร่งด่วน รอช้าไม่ได้ และต้องสำเร็จด้วย (B) สำคัญ แต่ไม่เร่งด่วน : ฝากใครทำไม่ได้ ต้องทำเอง แต่ไม่ด่วนมาก ต้องจัดสรรเวลามาทำ และต้องสำเร็จด้วย (C) ไม่สำคัญ แต่ เร่งด่วน : ฝากคนอื่นทำได้ แต่ต้องทำทันที ไม่ควรช้า เช่น บิลค่าไฟ มาแล้ว ไม่จ่ายจะถูกตัดไฟ เป็นต้น (D) ไม่สำคัญ และ ไม่เร่งด่วน : ฝากใครทำก็ได้ ถ้าว่างจริงๆแล้วจะทำ งานอย่างนี้ ถ้าจัดดีๆ อาจจะถูกผลัดไปได้ และบางครั้ง กลับมาดูอีกครั้ง ก็ไม่สำคัญว่าจะเสร็จ หรือไม่ก็ไม่เสียหายอะไร นอกจากเรื่อง เวลากับงานแล้ว ยังใช้กับกลุ่มคนได้ด้วย เช่น ในองค์กร จะมีผู้ที่มี อิทธิพล กับคนทั้งกลุ่ม อยู่ 20% และ ถ้าคน 20 % นี้เห็นอย่างไร คนที่เหลือ 80% ก็จะคล้อยตามด้วย ให้ลองทำดูก็ได้ โดยเขียนรายชื่อคนทั้งหมดในหน่วยงาน หรือ ในงานของคุณ แล้วนึกดูทีละคนว่า "ถ้าคนๆนี้ ต่อต้านเรา จะมีปัญหากับชีวิตเราหรือไม่" ถ้ามี ให้ทำเครื่องหมายไว้ด้านหน้า ถ้าไม่มี ก็ไม่ต้องทำ เมื่อเสร็จแล้ว ก็มักจะมีอยู่ประมาณ 20% ที่มีอิทธิพลในกลุ่มนั่นเอง ตาราง การแบ่งแยกประเภทของงานในแต่ละวัน ที่ทำได้ง่าย ๆ เพียง ก่อนเริ่มการทำงานอย่างจริงจัง คุณลองใช้เวลาสัก 10-15 นาที นั่งคิดว่า วันนี้เรามีงานอะไรต้องทำบ้าง แล้วเขียนเป็นตารางตามตัวอย่าง
มีงานค้างค่อนข้างเยอะ ต้องรีบสะสาง (งาน B เยอะ 48% แต่งาน A ประมาณ 24% ก็ยังพอได้) ทำงาน A เสร็จเกือบหมดแล้ว (ขณะเขียน blog นะ) ก็มีเวลาสลับมาทำงาน B และ C ได้ ทำให้ไม่เครียด ไม่พลาดงานบางอย่าง เช่นไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นต้น งานบางอย่างให้คนอื่นทำได้ ก็ให้ทำ (งาน C) แต่ถ้ายังพอมีเวลา อยากทำเองก็ทำได้ ท้ายสุดของความคิด ต้องคิดให้ได้ว่า งานก็คืองาน ซึ่งมันก็คือสิ่งที่เราต้องทำ เพื่อดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ มีงานที่ต้องทำ ควรทำ และอยากทำ คนเราก็มักจะเลือกทำงานที่ ชอบทำก่อน งานที่ควรทำ และ ต้องทำ ก็เลย ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ เขาว่ากันว่า สิ่งที่ยากที่สุดในเรื่องนี้คือ ทำให้คนทำสิ่งที่ต้องทำตามลำดับความสำคัญนั่นตะหากที่ยากของจริง |
Job info
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)